ยันต์ ถือว่าเป็น วิชาที่มีมา คู่กับชาติไทยเราแต่ครั้งบรรพกาล เพี้ยน มาจากคำว่า ยัญญ์ เป็นภาษาบาลี แปลว่า สิ่งที่มนุษย์ พึงเซ่น สรวงบูชา ให้มีความสุข ความเจริญ แต่ภาษาไทยเราเปลี่ยนเขียนเป็น ยันต์ ซึ่งหมายถึง รอยเส้น ที่ขีดขวางไปมาสำหรับลง คาถา
เพื่อความชัดเจน ของอักขระ (อักษรที่ลง) ครูอาจารย์สมัยโบราณจึงคิดทำเป็นตารางบ้าง (รูปเคารพ ปูชนียวัตถุต่างๆ บ้าง) แล้วเขียนอักษรลงไปในตารางหรือ รูปภาพที่คิดขึ้น เช่น เสือ สิงห์ หนุมาน ฯลฯ) จึงได้บังเกิดรูปยันต์ต่างๆ ตามที่เรานิยมนับถือกันในปัจจุบันนี้
ประเทศไทยเท่าที่พบอักขระ ที่ใช้ลงในยันต์นั้น เฉพาะ วิชา ไสยศาสตร์ ของไทย ใช้อักษร (อักขระ) เป็น อักขระขอม เพราะถือ ว่าเป็นอักษรที่ศักดิ์สิทธิ์ จะมีอักษรไทยลงในยันต์อยู่บ้าง ใช้กันแถว ภาคใต้ ลงด้วย "อักขระพระเจ้า (นอโม ๒๙ ตัว) ซึ่งถือว่าเป็น กำเนิดปฐม อักขระ เช่น อ นอ โม พุ ทอ ธา ยอ สิ ทอ ธม ออ อา อิ อี อึ อื อุ อู ฤ ฤา ฦ ฦา เอ แอ ไอใอ โอ เอา อำ อะ ฯ....
ในภาคกลาง ภาคเหนือ และอีสาน ส่วนมาก คงลงเป็น รูปอักขระขอม ขอมลาว (อักขระธรรม) บางยันต์ก็ใช้ตัวเลขแทน อักขระ ลงไปหลายๆ คำ ทั้งช่องยันต์ ที่จะลงก็จำกัดที่ จึงใช้เป็นตัวเลขแทน เช่น จะเขียนหัวใจ นวหรคุณ (อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ฯ.........) ก็ใช้เขียนเลข "๙" แทนลงไป หรือหัวใจอื่นๆ ก็ลงตัวเลขแทน เช่นเดียวกับ พระ อภิธรรม ๗ คัมภีร์ (สังวิชาปุกะยะปะ ฯ...) เขียน "๗" แทนลงไป
ยันต์ กันปืน
ยันต์เหลี่ยม
ยันต์ พระฉิมสิวะลี เดินเทศน์
ยันต์รูปพระพุทธ คือ ยันต์พระพุทธนิมิตร
ในจำนวนรูปภาพที่นำมาเขียนเป็นยันต์ทั้งหมด ยันต์ที่ขึ้นชื่อที่สุดและถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ ยันต์พระพุทธนิมิตร เป็นยันต์ที่เขียนเป็นรูปองค์พระทั้งองค์ แล้วลงด้วยคาถาพุทธคุณพระพุทธเจ้า ๕๖ และเรียกสูตรด้วย อิติปิโสรัตนมาลา เสกด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ รวมทั้ง คาถาพระพุทธนิมิตร สำหรับ ผ้ายันต์พระพุทธ ที่จะยกมาเป็นตัวอย่างการอธิบาย คือ ผ้ายันต์หน้าพระ ของ หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ วัดตะเคียน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยท่านได้ทำผ้ายันต์ไว้เมื่อกว่า ๑๐ ปีที่แล้ว ทั้งนี้ได้ทำเป็นรูปเฉพาะส่วนที่เป็นพระพักตร์เท่านั้น หรืออาจจะเรียกว่า “ยันต์หน้าพระ” ก็ได้ แม้ว่าจะมียันต์เพียงไม่กี่ตัว แต่ถือเป็นการรวมสุดยอดแห่งยันต์เอาไว้ โดยมีอักขระเลขยันต์ที่น่าสนใจดังนี้ คือ ยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ นะ โม พุท ธา ยะ โดยตำแหน่งของแต่ละตัว คือ นะ (หูขวาของพระพุทธรูป) โม (หูซ้ายของพระพุทธรูป) พุท (ตรงเศียร) ธา (หน้าฝาก) ยะ (ปาก)
อักขระมหายันต์วิรัตติ
ยันต์เฑาว์พุทธะ
ในสมัยที่หลวงพ่อปานออกธุดงค์คือประมาณปี พ.ศ. 2446 ท่านพบลายแทงฉบับหนึ่งบ่งบอกว่า มีขุมทรัพย์และพระคาถามหายันต์อันศักดิ์สิธิ์บรรจุอย ู่ภายในพระปรางค์ร้างวัดพระศรีมหาธาตุ สุพรรณบุรี หลวงพ่อปาน มีความสนใจในพระคาถามหายันต์นั้นเป็นอย่างมาก ท่านจึงออกธุดงค์ดั้นด้นค้นหาพระปรางค์ร้างจนพบและทำ การขุดเจาะรงตำแหน่งลายแทง ก็พบทรัพย์สมบัติและพระพิมพ์ต่างๆ มากมายบรรจุอยู่ในพระปรางค์ แต่ท่านก็ไม่มีความสนใจในทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าต่างๆ เหล่านั้นเลย นอกจากผอบทองคำใบหนึ่งซึ่งภายในมีแผ่นลานทอง จารึกพระคาถาและอุปเท่ห์วิธีใช้ที่พระฤาษี 108 ตน ร่วมกันชักยันต์ขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อมอบแด่ผู้มีบุญต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อหลวงพ่อปาน ได้พระคาถามหายันต์ไปใช้แล้วก็นำมาท่องจนขึ้นใจสามาร ถชักยันต์ได้จนมีความชำนาญ จึงนำแผ่นลานทองเก็บไว้ในผอบทองคำตามเดิมแล้วนำมาบรร จุที่ใต้ฐานพระพุทธรูปองค์หนึง จากนั้นหลวงพ่ปานก็นำพระคาถามหายันต์นั้นมาใช้ได้บัง เกิดผลอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่น่าอัศจรรย์ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานพิมพ์รูปของท่านออกแจก จึงประทับมหายันต์นั้นไว้บนศีรษะมหายันต์ดังกล่าวนั้ นคือ "ยันต์เฑาว์พุทธะ"นั่นเอง
ยันต์เฑาว์พุทธะนี้มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเ พราะพระฤาษีผู้ทรงอภิญญาร่วมกันชักยันต์ขึ้นภึง 108 ตน นอกจากจะใช้ป้องกันภูตผีปีศาจแล้ว ยังใช้แก้โรคภัยไข้เจ็บทั้งภายในและภายนอกได้ดี โดยพิมพ์ยันต์ลงบนผ้า ปิดตามร่างกายที่ปวดเช่น ปวดศีรษะ ปวดบวมตามร่างกาย หรือจะสูญฝีก็ได้ให้ใช้นิ้วจุ่มน้ำลายใต้ลิ้น เขียนยันต์สูญรอบๆฝีหรือจะลงแก้มแก้คางทูมก็ได้ดียิ่งนัก ให้ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย พระฤาษี 108 ตน และหลวงพ่อปานเท่านั้นก็หายสิ้นแล
อักขะในรูปยันต์ใบพัดตรงกลางเหรียญ คือ นะอิสวาสุ อิสวาสุ
เป็นหัวใจแก้ว ๓ ประการ .
ประการที่ ๑ อิ ย่อจาก อิตอปิโสภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯลฯ
พุทโธภะคะวาติ.
ประการที่ ๒ สวา ย่อจาก สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ฯลฯ วิญญูหิติ
ประการที่ ๓ สุ ย่อจาก สุปฏิปันโน ภะคะวะโต ฯลฯ โลกัสสาติ
อักขระล้อมชั้นในด้านบน อ่านตรงกลางว่า นะชาลิติ อ่านสองข้างว่า อุตทัง อัตโท
นะชาลิติ หรือ นะชาลีติ เป็นหัวใจพระฉิมพลี ถอดมาจากคาถาธรณีปริตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้พระอานนท์ เริ่มจาก ชาโล มหาชาโล ชาลัง มหาชาลัง ชาลิเต มหาชาลิเต ชาลิตัง มหาชาลิตัง มุตเต มุตเต สัมปัตเต มุตตัง มุตตัง สัมปัตตัง สุตัง คะมิติ สุตังคะมิติ มัคคะยีติ ทิฎฐิลา ทัณฑะลา มัณฑะลา โรคิลากะระลา ทุพพะลา ริตติ ริตติ กิตติ กิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ มุตติ มุตติ จุตติ จุตติ ธาระณี ธาระณีติ อิทังธาระณะ ปะริตตัง. ท่านย่อเหลือ ๔ พยางค์ คือ นะชาลิติ เรียกว่าหัวใจ นิยมใช้ในทางเกิดโชคลาภ เมตตามหานิยม ค้าขายง่ายคล่อง และป้องกันภัยกันผีด้วย
อักขระล้อมชั้นในด้านบน อ่านสองข้างว่า อุตทัง อัตโท
คำว่า อุตทัง อัตโท หรือ อุทธัง อัทโธ เป็นหัวใจมหาอุด ท่านเอามาจากบทกรณียะเมตตะสุตตัง ท่อนท้าย ฯลฯ เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธังอะโธ จะติริยัญจะ ฯลฯ ท่านเอาอุทธัง อัทโธนี้มาใช้เป็นคาถามหาอุด โดยออกเสียงให้เป็นอุทธัง อัทโธ เป็นการอุดอัดปากกระบอกปืน
อักขระด้านใต้ยันต์ใบพัด อ่านว่า สีหะนาทัง เป็นหัวใจราชสีห์
ใช้ในทางตบะเดชะเกิดอำนาจ ทั้งทางประจัญศัตรูและสู่โรงศาล
อักขระถัดออกไปอีกหนึ่งรอบ รอบที่สองนับจากด้านนอก
อ่านว่า อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ เป็นพระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ดีทางเมตตาและป้องกันภัย
อักขระรอบนอกสุด มี 3 คาถาเรียงกันจากทางขวาดังนี้
อักขระอยู่รอบนอกจากบน วนขวา อ่านว่า มะอะอุ (รูปแรก)เป็นหัวใจพระไตรปิฎก หมายถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
มะ มาจากคำว่า มนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
อะ มาจากคำว่า อกาลิโก เอหิปัสสิโก
อุ มาจาก อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ
บางอาจารย์ก็กล่าวว่า อะอุมะ คือ อะ มาจาก อะระหัง หมายถึง พระพุทธ
อุ มาจาก อุตตรธรรม หมายถึง พระธรรม
มะ มาจาก มหาสังฆ หมายถึง พระสงฆ์
ยังมีกล่าวไว้อีกว่า เป็นนามอนุสรณ์ย่อของสามอสีติมหาสาวกผู้นำในการทำปฐมสังคายนาพระไตรปิฎก คือ
มะ หมายถึง พระมหากัสสป
อะ หมายถึง พระอานนท์
อุ หมายถึง พระอุบาลี
รวมความแล้ว เป็นหัวใจพระไตรปิฎกทั้งนั้น เป็นคาถาใช้ได้ทุกทาง
อักขระถัดมา อ่านว่า นะมะพะทะ เป็นหัวใจในธาตุทั้งสี่ คือ น้ำดินลมไฟ
ช่วยหนุนให้ทุกคาถาที่ร่วมรายการเกิดอิทธิปาฎิหารย์
อักขระถัดมา อ่านว่า นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอ ออนออะ นะอะกะอัง
เป็นหัวใจพระเจ้า ๑๖ พระองค์ ดีทางคงกระพันเมตตา
อัขระสุดท้าย อ่านว่า พุทธะสังมิ มุมิมิ
พุท คือพุทธัง
ธะคือ ธัมมัง
สังคือสังฆัง
มิคือคำท้ายของ สรณังคัจฉามิ
เอามารวมกัน ๔ กถาเป็นคาถาว่า พุทธะสังมิ
ดีทางป้องกันภัยและเมตตามหานิยม
ตัวเฑาะว์ (มีตัว ว. การันต์) ที่ใช้ประกอบวางอย่างระหว่างอุณาโลม บนเศียรพระ คือ “เฑาะว์ฬ่อ”โดยมีอุปเท่ห์การใช้ที่ว่า “มีพุทธคุณด้านเมตตา มหานิยม” โดยการเขียนตัว “เฑาะว์ฬ่อ” ในเหรียญหลวงปู่หนู เขียนเพียงครึ่งตัวเท่านั้น ทั้งนี้หากเป็น “ยันต์เฑาะว์” ของ หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม จ.สมุทรสงคราม หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จ.อยุธยา จะเรียกว่า “ยันต์เฑาะว์รันโต” โดยระหว่างลงยันต์บนกระหม่อม หลวงพ่อจะภาวนา โดยเริ่มจากการตั้งนะโม ๓ จบก่อน จากนั้นก็จะบริกรรม “ท้อรันโต ศีละสมาธิ ท้อรันโตตันติ นะมัตถุโน ท้อรันโต นะกัมมัถฐานัง ท้อพุทธา นะมามิหังฯ”
ในขณะที่การเรียกสูตรเฑาะว์ตำราของ อ.เทพ สาริกบุตร ผู้รวมพระคัมภีร์รวมนะอักขระวิเศษต่างๆ และผู้ชำระตำราไสยศาสตร์ไทย จะใช้ว่า “ท้อรันโต สิละสมาธิ ท้อรันติ มะละมัตตะโน ท้อรันโต กัมมะถานัง ท้อรันตันตัง นะมามิหัง” นอกจากนี้แล้วก่อนที่จะเขียนอุณาโลมให้บริกรรมว่า “ท้ออุณาโลมาเนาวะนาถัง ท้อทุเสสังสัมภะโว พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ” โดยมีอุปเท่ห์คือ “ให้ลงใส่กระดานชนวนทำผงทาตัว เป็นมหาทรหดคงทน ให้ลงใส่ในใบพลูแล้วม้วนกิน เวลาจะกินให้เสกด้วยคาถานี้ “ท้อฬ่อ” กินเข้าไปเถิดอยู่คงดี”
นอกจากนี้แล้วเมื่อมีการเขียนเส้น ล้อมรอบ หลายๆ ชั้น และ มีการใช้ยันต์ ตัวอื่นๆ มาเขียน ประกอบด้วย เช่น ของหลวงปู่ศุข แห่งวัดมะขามเฒ่า ทำให้มีการ เรียกชื่อตามตัวยันต์อื่นๆ ที่เป็นยันต์ประกอบ เช่น เฑาะว์หะวัง เฑาะว์พุทธคุณ เฑาะว์พระนิพพาน เฑาะว์พระรัตนไตร เฑาะว์อะระหัง ในขณะที่สำนักวัดกลางบางแก้ว นครปฐมมีเฑาะว์ ๒ ตัว ที่ปรากฏในวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง คือ "เฑาะว์มหาอุด" และ "เฑาะว์มหาพรหม"
หน้าที่เข้าชม | 13,820,222 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,431,241 ครั้ง |
เปิดร้าน | 26 ก.พ. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |